5 นางในวรรณคดีที่ผูกพันกับดอกไม้
คนที่ 1 นางมัทนา จากเรื่อง มัทนะพาธา
“มัทนา” จากศัพท์ “มทน” ซึ่งแปลว่าความลุ่มหลงหรือความรัก
นางมัทนา ผู้ต้องคำสาปให้ลงมาเกิดเป็นดอกกุหลาบ เรื่องราวของนางมัทนานั้น แต่เดิมก็เป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์จนกระทั่งเทพบุตรนามว่า สุเทษณ์ มาหลงรักและต้องการจะครอบครองนางทั้งตัวและหัวใจแต่ว่านางไม่เล่นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อาจเห็นนางไปรักกับเทพองค์อื่นได้ จึงถามว่านางอยากลงไปเกิดในโลกมนุษย์ด้วยรูปแบบใด นางมัทนาก็เอ่ยว่าขอไปเกิดเป็นดอกไม้ สุเทษณ์จึงถามมายาวินว่ามีดอกไม้ใดหรือไม่ ที่มีทั้งกลิ่นหอมและสีสวยให้สมกับความงามของนางมัทนา มายาวินก็ตอบไปว่ามีดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่อ กุพชะกะ(ชื่อเรียกดอกกุหลาบในภาษาสันสกฤต) เป็นดอกไม้ที่มีสีสันสดสวยเหมือนกับแก้มที่แดงระเรื่อ เหมือนกับแสงอาทิตย์ สุเทษณ์ก็เลยตัดสินใจสาปให้นางมัทนาลงไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ ความพิเศษอยู่ที่ในคืนวันเพ็ญ หรือถ้านางมีความรักกับบุรุษผู้ใดถึงจะคงรูปอยู่เป็นมนุษย์ได้ แต่ถ้าต้องทุกข์ใจเพราะรักให้นึกถึงพระองค์
หลังจากที่นางมัทนาไปเกิดเป็นดอกกุหลาบก็มีโอกาสได้ครองรักกับท้าวชัยเสนอยู่นานจนวันหนึ่งถูกใส่ร้ายจากความริษยาของนางจัณฑี ซึ่งเป็นมเหสีเอกในตอนนั้น จนท้าวชัยเสนสั่งประหารนางมัทนา ก่อนจะมารู้ภายหลังว่านางที่ตนรักถูกใส่ร้าย พอตัดสินใจจะตามกลับไปรับตัวนางก็ไม่ทัน เพราะนางมัทนาได้กลายเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาลแล้ว ซึ่งสาเหตุที่มัทนากลายเป็นกุหลาบก็มาจากนางทุกข์ใจเพราะรักจึงวิงวอนต่อสุเทษณ์ให้ช่วยเหลือ สุเทษณ์ยินดีรับนางกลับมายังสวรรค์ แต่ตัวนางปฏิเสธกลัวจะถูกมองไม่ดีถ้ามีรักกับบุรุษสองคน สุเทษณ์ก็ถามต่อว่าแล้วต้องการให้ช่วยอะไร นางขอให้สุเทษณ์ดลใจท้าวชัยเสนให้กลับมารับนางที แต่สุเทษณ์โมโหว่าทำไมนางมัทนาถึงไม่สนใจตนบ้าง ในขณะที่ท้าวชัยเสนเป็นคนทิ้งไปแท้ๆ จึงสาปให้นางกลายเป็นดอกกุหลาบตลอดไปอย่าได้มีใครสามารถชมเชยความงามของนางได้อีกเลย

คนที่ 2 พระลักษมี
“นางผู้ถือกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทร ชายาของพระนารายณ์”
“นางผู้ถือกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทร ชายาของพระนารายณ์”
นางในวรรณคดีคนถัดมาที่มีความเกี่ยวข้องกับดอกไม้คนที่สองก็คือ พระลักษมี กำเนิดพระลักษมีก็มีหลายแบบตามแต่ละตำราว่ากันไป ซึ่งกำเนิดที่จะกล่าวถึงมากที่สุดคงต้องเป็นการกำเนิดจากดอกบัวที่ผุดขึ้นมากลางการกวนทะเลน้ำนม หลายคนน่าจะรู้จักการกวนเกษียรสมุทรมาจากเรื่องรามเกียรติ์แล้ว เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดสิ่งของหลายอย่างก่อนจะได้น้ำอมฤตมาในตอนท้าย รวมไปถึงการปรากฏดอกบัวลอยขึ้นมาพร้อมพระลักษมีที่อยู่ในนั้นด้วย พระนารายณ์จึงรับเอาไว้เป็นชายาและดอกบัวก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวพระลักษมีไปโดยปริยาย

คนที่ 3 นางทิพเกสร จากเรื่อง ลักษณวงศ์
“เพราะความงามราวกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมของนางเป็นต้นเหตุ…”
นางทิพเกสร นางเป็นอีกคนที่เกิดในดอกบัว โดยมีกลิ่นกายที่หอมมากราวกับกลิ่นเกสรดอกไม้ ฤาษีตนหนึ่งนามว่าพระฤาษีมหาเมฆได้ผ่านไปพบและนำมาเลี้ยงดูไว้ที่อาศรม และได้ให้ชื่อว่า ทิพเกสร นางทิพเกสรได้อาศัยอยู่กับพระฤาษีจนกระทั่งได้พบกับพระลักษณวงศ์ที่พลัดหลงจากมารดา พระฤาษีจึงรับเลี้ยงดูสั่งสอนเพราะรู้ว่าในอนาคตไม่นานพระลักษณวงศ์ต้องได้พบมารดาอีกครั้งแน่นอน ในระหว่างที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนั้นนางทิพเกสรกับพระลักษณวงศ์ก็เกิดความสนิทสนมขึ้นมา จนวันที่ทั้งสองต้องแยกจากกันก็เต็มไปด้วยความเศร้า เมื่อคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกัน นางทิพเกสรก็ยังรอคอยพระลักษณวงศ์จนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ก็ยังมีเหตุให้ต้องพลัดพรากกันอีกรอบจนได้ ส่วนสาเหตุนั้นเกิดจากความงามของนางทิพเกสรเป็นชนวนทำให้เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเกิดขึ้น จนเทวดาที่อยู่ในป่าได้ออกมาให้ความช่วยเหลือและได้พูดกับนางว่า 'ความงามของนางก็เหมือนกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ถ้าเดินทางคนเดียวอย่างนี้เกรงว่าจะเกิดอันตราย...' จึงช่วยแปลงให้นางเป็นพราหมณ์ชื่อ เกสร ถ้าถอดแหวนก็จะกลับเป็นผู้หญิงดังเดิม
“เพราะความงามราวกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมของนางเป็นต้นเหตุ…”
นางทิพเกสร นางเป็นอีกคนที่เกิดในดอกบัว โดยมีกลิ่นกายที่หอมมากราวกับกลิ่นเกสรดอกไม้ ฤาษีตนหนึ่งนามว่าพระฤาษีมหาเมฆได้ผ่านไปพบและนำมาเลี้ยงดูไว้ที่อาศรม และได้ให้ชื่อว่า ทิพเกสร นางทิพเกสรได้อาศัยอยู่กับพระฤาษีจนกระทั่งได้พบกับพระลักษณวงศ์ที่พลัดหลงจากมารดา พระฤาษีจึงรับเลี้ยงดูสั่งสอนเพราะรู้ว่าในอนาคตไม่นานพระลักษณวงศ์ต้องได้พบมารดาอีกครั้งแน่นอน ในระหว่างที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนั้นนางทิพเกสรกับพระลักษณวงศ์ก็เกิดความสนิทสนมขึ้นมา จนวันที่ทั้งสองต้องแยกจากกันก็เต็มไปด้วยความเศร้า เมื่อคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกัน นางทิพเกสรก็ยังรอคอยพระลักษณวงศ์จนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ก็ยังมีเหตุให้ต้องพลัดพรากกันอีกรอบจนได้ ส่วนสาเหตุนั้นเกิดจากความงามของนางทิพเกสรเป็นชนวนทำให้เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเกิดขึ้น จนเทวดาที่อยู่ในป่าได้ออกมาให้ความช่วยเหลือและได้พูดกับนางว่า 'ความงามของนางก็เหมือนกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ถ้าเดินทางคนเดียวอย่างนี้เกรงว่าจะเกิดอันตราย...' จึงช่วยแปลงให้นางเป็นพราหมณ์ชื่อ เกสร ถ้าถอดแหวนก็จะกลับเป็นผู้หญิงดังเดิม
แต่ถึงจะอยู่ในร่างพราหมณ์เกสร นางทิพเกสรก็ยังไม่เลิกตามหาพระลักษณวงศ์ ถึงจะได้ข่าวมาว่าพระองค์มีชายาใหม่ไปแล้วก็ยังไม่ถอดใจ ทั้งที่ในตอนนั้นนางกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ด้วย ถือว่าเป็นหญิงแกร่งที่มีความเชื่อมั่นในคนรักของตนอย่างที่สุด เรื่องราวตอนสุดท้ายยิ่งน่าหดหู่ใจ เพราะคนที่มอบความตายให้นางทิพเกสรก็คือพระลักษณวงศ์คนที่นางเฝ้ารักและรอคอยมาทั้งชีวิตนั่นเอง และในวาระสุดท้ายหลังจากถูกประหารร่างกายก็กลับกลายมาเป็นหญิงอีกครั้ง พระลักษณวงศ์มาเห็นศพก็จดจำได้ทันที เพราะความงามและกลิ่นหอมของนางยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพระลักษณวงศ์ไม่เสื่อมคลายนั่นเอง

คนที่ 4 พิกุลทอง
“งามราวกับดอกไม้ เส้นผมมีกลิ่นหอมชื่นใจ เอื้อนเอ่ยคำยามใดก็ปรากฏดอกพิกุลทองร่วงมา”
“งามราวกับดอกไม้ เส้นผมมีกลิ่นหอมชื่นใจ เอื้อนเอ่ยคำยามใดก็ปรากฏดอกพิกุลทองร่วงมา”
นางพิกุลทอง โดยที่มาของนางพิกุลทองนั้นมีอยู่ว่า นางเป็นธิดาของท้าวสันนุราชและนางพิกุลจันทรา ซึ่งตั้งแต่แรกเกิดจนเติบโตมานางพิกุลทองเป็นพระธิดาที่มีผมสลวยเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกพิกุล หน้าตาก็งดงาม และจะมีดอกพิกุลทองร่วงจากปากทุกครั้งไป แต่ชีวิตของนางก็ไม่ได้สงบสุข วันหนึ่งนางพิกุลทองไปเล่นน้ำได้เจอพญาแร้งและได้เอ่ยปากด่าทอออกไป ทำให้พญาแร้งเคียดแค้น หาทางกลับมาเอาคืนด้วยวิธีต่างๆ นานา จนได้อภิเษกสมรสกับนางพิกุลทอง แต่แล้วความจริงก็ปรากฏว่าชายหนุ่มที่นางอภิเษกสมรสด้วยคนนั้นคือพญาแร้งก็เมื่อตอนที่นางพิกุลทองนั่งเรือไปยังเมืองของพญาแร้ง แต่โชคดีที่แม่ย่านางมาช่วยเอาไว้ได้ นางพิกุลทองได้ลอยผอบที่มีจดหมายขอความช่วยเหลือไปในทะเล และต่อมาพระพิไชยมงกุฏเก็บผอบซึ่งมีเส้นผมหอมและจดหมายของนางพิกุลทองได้ จึงออกตามหาและพบนาง ก่อนจะครองคู่กันจนมีลูกด้วยกันสองคน แต่เรื่องราวของนางพิกุลทองก็ไม่ได้จบแค่นั้น วันหนึ่งพระพิไชยมงกุฎพานางพิกุลทองไปเดินเล่นชมดอกไม้ นางเห็นดอกบัวใหญ่โตสวยงามในสระน้ำก็หวังจะเอื้อมไปหยิบแต่กลับโดนนางยักษ์กาขาวลากลงไปใต้น้ำ และสาปให้พิกุลทองกลายเป็นชะนี แล้วนางยักษ์ก็แปลงกายเป็นนางพิกุลทองแทน
เรื่องราววุ่นวายก็ตามมาอีกทั้งการพลัดพรากจากกัน และการต้องระหกระเหินของรักและยมลูกของนางพิกุลทองกับพระพิไชยมงกุฎ เเละสิ่งที่จะทำให้เรื่องราวจบลงอย่างงดงาม ก็คือดอกพิกุลทองนี่เอง แม้นางจะกลายเป็นชะนีแต่เวลาที่พูดก็ยังมีดอกพิกุลทองร่วงลงมาเสมอ ทำให้ลูกๆ ที่ถูกพระพิไชยมงกุฏเนรเทศเก็บดอกพิกุลทองที่หล่นตามทางไปเเลกข้าวกินประทังชีวิต ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะสามารถแก้คำสาปได้ และทุกคนก็กลับมามีความสุขด้วยกันอีกครั้ง
เรื่องราววุ่นวายก็ตามมาอีกทั้งการพลัดพรากจากกัน และการต้องระหกระเหินของรักและยมลูกของนางพิกุลทองกับพระพิไชยมงกุฎ เเละสิ่งที่จะทำให้เรื่องราวจบลงอย่างงดงาม ก็คือดอกพิกุลทองนี่เอง แม้นางจะกลายเป็นชะนีแต่เวลาที่พูดก็ยังมีดอกพิกุลทองร่วงลงมาเสมอ ทำให้ลูกๆ ที่ถูกพระพิไชยมงกุฏเนรเทศเก็บดอกพิกุลทองที่หล่นตามทางไปเเลกข้าวกินประทังชีวิต ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะสามารถแก้คำสาปได้ และทุกคนก็กลับมามีความสุขด้วยกันอีกครั้ง

คนที่ 5 นางจำปาทอง จากเรื่อง ไชยเชษฐ์
“นางผู้ที่ไม่ว่าร้องไห้เมื่อใด ก็จะปรากฏดอกจำปาทองเมื่อนั้น…”
“นางผู้ที่ไม่ว่าร้องไห้เมื่อใด ก็จะปรากฏดอกจำปาทองเมื่อนั้น…”
นางจำปาทอง จากเรื่องไชยเชษฐ์ นางเป็นธิดาของท้าวอภัยนุราชเจ้าเมืองเวสาลี ซึ่งตั้งแต่เกิดมาหากนางร้องไห้ น้ำตาของนางจะกลายเป็นดอกจำปาทอง มีกลิ่นหอมยวนใจ จึงได้ชื่อว่านางจำปาทองนั่นเอง แต่เมื่อโตขึ้นนางก็ได้เก็บไข่จระเข้มาเลี้ยงไว้ในวัง แล้วพอจระเข้โตขึ้นก็ไล่กัดชาวเมืองตายไปหมด ท้าวอภัยนุราชก็เลยต้องขับไล่นางออกจากเมือง ชีวิตของนางจำปาทองร่อนเร่ไปในป่าอยู่นาน เจอทั้งยักษ์จะเข้ามาเกี้ยวพาราสีเพราะได้กลิ่นหอมจากตัวของนางจำปาทอง นางและบริวารที่เป็นนางแมวผู้ติดตามมาด้วยจึงไปขอให้พระฤาษีช่วยคุ้มครอง จนวันหนึ่งท้าวสิงหลเจ้าเมืองสิงหลฝันว่าจะมียักษ์นำดอกจำปาสีทองอร่ามมาถวาย โหรทำนายฝันว่าจะได้พระราชธิดามาเลี้ยงดู จึงออกตามหาเมื่อได้พบกับนางจำปาทองที่อาศรมของฤาษีก็รู้ว่าเป็นธิดาตกยาก จึงรับมาเลี้ยงและได้ให้ชื่อใหม่คือ นางสุวิญชา
อ้างอิง:
อ้างอิง:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น